วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555


แบ่งปันชีวิตคริสตชนใหม่และกระบวนการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน
(Rites of Christian Initiation of Adults-RCIA)
                                      แบ่งปันโดย...คุณฉมามาศ รอดชมพู

เมื่อวันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2009 เวลา 10.40 -11.30 น. อาจารย์ทัศนีย์ มธุรสสุวรรณ  เชิญคริสตชนใหม่ 3 ท่าน คือ มารีย์ อิกญาซิโอ วชิรวไล นาควิโรจน์ และมารีอา ลอเรนซ์ ฉมามาศ รอดชมภู ซึ่งทั้งสองเรียนคริสตศาสนธรรมผู้ใหญ่และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ (ขณะนี้เป็นพี่เลี้ยงให้กับรุ่นน้องที่มาเรียนที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ) และคุณกลารา ทัคขีนี เขียวประเสริฐ เรียนและรับศีลฯที่วัดนักบุญโทมัสอไควนัส มีนบุรี มาร่วมแบ่งปันในวิชาการสอนศาสนธรรมผู้ใหญ่ (คศ.123) ให้กับนักศึกษาสาขาวิชาคริสตศาสนศึกษา วิทยาลัยแสงธรรม ชั้นปี 2-3 จำนวน 25 คน ในหัวข้อชีวิตคริสตชนใหม่และกระบวนการรับผู้ใหญ่เข้าเป็น คริสตชน  จึงขออนุญาต  มารีอา ลอเรนซ์ ฉมามาศ รอดชมภู  นำสิ่งที่ได้แบ่งปันกับนักศึกษามาแบ่งปัน   ดังต่อไปนี้

1. ทำไมท่านจึงสนใจมาเรียนคำสอน
-  ได้ยินเรื่องของพระเยซูมานานแล้ว จากภาพยนต์, หนังสือเรียน
-  ได้เห็นแบบอย่างที่ดีของพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2
-  อยากรับศีลล้างบาปเพื่อเป็นคริสตชน  ฯลฯ

2. มีใครเชิญชวนท่านให้มาเรียนคำสอนหรือไม่ หรือท่านรู้ว่ามีการสอนคำสอนผู้ใหญ่จากที่ใด
ในตอนแรกเรียนคำสอนที่คริสตจักร โปรแตสแตนท์  สายเพรสไบทีเรียน
- เวบไซต์ www.google.com พิมพ์ว่า คาทอลิก ลิงค์ไปที่เวบไซต์ www.newmana.com ในกระทู้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้สนใจที่จะมาเป็นคาทอลิก คนในเวบบอร์ดแนะนำว่าให้เดินเข้าไปในวัด แล้วบอกคุณพ่อ (บาทหลวง) ว่าเราอยากเป็นคาทอลิก
-   ค้นหาวัดที่จะไปจาก www.google.com รู้จักเพียงวัดเดียวคือ อาสนวิหารอัสสัมชัญ ซึ่งบิดาเคยกล่าวถึง
-  วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2006 มามิสซารอบ 17.30 ที่วัดอัสสัมชัญ แล้วตามหาคุณพ่อ (บาทหลวง) เห็นคุณพ่อวรยุทธ กิจบำรุงยืนอยู่หน้าวัด จึงเข้าไปถามคุณพ่อว่า ถ้าต้องการเป็นคาทอลิกจะต้องทำอย่างไรบ้าง คุณพ่อจึงแนะนำให้ไปเรียนคำสอนที่บ้านพักพระสงฆ์ วันอาทิตย์ เวลา 10.00น.

3. ในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่ใช้หนังสือเรียนเล่มใดบ้าง และหนังสือที่ใช้มีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
หนังสือที่ใช้
-  หนังสือก้าวไปด้วยกัน
-  พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ (สำนวนคาทอลิก)
-  พระคัมภีร์ปัญจบรรพ (สำนวนคาทอลิก)
-  ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิค - - - - ในบางโอกาส
-  หนังสือเพลงปราถนา - - - - ในบางโอกาส
หนังสือก้าวไปด้วยกัน ดีอย่างไร?
-  เนื่องจากในห้องคำสอน ผู้เรียนมีระดับการศึกษาไม่เท่ากัน ดังนั้นหากใช้ตำราเรียนที่มีแต่
   ตัวอักษรเยอะเต็มหน้ากระดาษ  อาจจะทำให้ผู้เรียนบางกลุ่มตามเนื้อหาไม่ทัน   แต่หนังสือ
   ก้าวไปด้วยกัน ทำให้ผู้เรียนทุกคนเรียนรู้ไปพร้อมๆกันได้     ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีช่วงให้    
  แบ่งปันในกลุ่มย่อยด้วย
-  ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงพระวาจาและคำสอนต่างๆ เข้ากับบางเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตจริง
    (มองชีวิต, พระวาจาฯ, ก้าวเดินไปข้างหน้า)
-  การแบ่งปันในกลุ่มย่อยทำให้ช่องว่างระหว่าง คุณพ่อ, ครูคำสอน กับกลุ่มผู้เรียนลดลง เมื่อผู้เรียนมีความไว้วางใจมากขึ้น พวกเขาก็กล้าที่จะแบ่งปันประสบการณ์มากขึ้น    การแบ่งปันถือเป็นโอกาส  ผู้ที่ไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ได้แสดงความคิดเห็น ผู้ที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น    (พูดไม่เก่ง) มีโอกาสพัฒนา   ผู้ที่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจ มีโอกาสเปิดเผย แล้วได้รับคำหนุนใจจากสมาชิกคนอื่นๆ นอกจากนั้น ความเห็นที่หลากหลายจากสมาชิกในกลุ่ม อาจเป็นการตอบคำถามซึ่งอยู่ในใจของสมาชิกที่ยังไม่กล้าจะถาม
-   เนื้อหาของหนังสือก้าวไปด้วยกัน สอดคล้องกับกระบวนการ RCIA มาก อาจพูดได้ว่า เมื่อนึกถึง RCIA ก็ต้องนึกถึงหนังสือก้าวไปด้วยกัน
 พระคัมภีร์สำนวนคาทอลิก ดีอย่างไร?
-  เขียนด้วยภาษาที่ไพเราะ เข้าใจง่าย และเป็นสำนวนที่คาทอลิกใช้กันอยู่แล้ว
-  มีฟุ๊ตโน้ต (Footnote) อธิบาย ทำให้ผู้เรียนคำสอนหลายท่าน ซึ่งยังไม่เคยศึกษามาก่อนเข้าใจได้ง่ายขึ้น

4. ในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่ มีกระบวนการ RCIA หรือไม่ และมีผลดีต่อผู้เรียนคำสอน และชุมชนคริสตชนของวัดหรือไม่ อย่างไร
-  ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ เราเรียนคำสอนแบบRCIA   มีระยะเวลาในการเรียน และพิธีกรรมเป็นขั้นตอน  เปิดคอร์สพบปะกันครั้งแรกà พิธีต้อนรับผู้สมัครฯ à ระยะเวลาเรียนคำสอน à  พิธีเลือกสรร à ระยะเวลาชำระจิตใจ จะประกอบพิธีพิจารณาความตั้งใจà พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์    ในภาคเช้าวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ จะมีการเตรียมผู้ที่จะเป็นคริสตชนใหม่  จะมีพิธีเอฟฟาธา เจิมน้ำมันล้างบาป และในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์จะมีพิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ (ศีลมหาสนิท, ศีลกำลัง และ ศีลมหาสนิท)à ระยะเวลาเป็นคริสตชนใหม่
ผลดีของกระบวนการ RCIA
-  ต่อผู้เรียนคำสอน  : พิธีกรรมต่างๆซึ่งทำเป็นขั้นตอน ทำให้ผู้เรียนเกิดแรงผลักดัน เหมือนการกระตุ้นเป็นระยะๆ ทำให้ทราบว่า ณ ตอนนี้เราก้าวเดินมาถึงจุดไหนแล้ว ต้องพัฒนาหรือละทิ้งอะไรบ้าง แล้วจะต้องเดินอีกเท่าไร จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง คือ วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์    ผู้เรียนส่วนใหญ่คิดว่าพิธีกรรมเหล่านี้เป็น ครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งยากที่จะลืมเลือน   (สำหรับข้าพเจ้า หลังจากรับศีลล้างบาปแล้ว เมื่อได้มีโอกาสเห็นพิธีเหล่านี้อีก รู้สึกเหมือนเป็นการรื้อฟื้นความเชื่อไปด้วย)
-  ต่อชุมชนเขตวัด  :  เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเขตวัดกับผู้เรียน ทำให้พวกเขาทราบว่า เรา (ผู้เรียน) เป็นใคร    เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเข้าพิธีต้อนรับผู้สมัครเรียนคำสอน ข้าพเจ้าคิดว่าพิธีนี้คงไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพี่น้องคริสตชนในวัด บางทีเขาอาจจะเบื่อเสียด้วยซ้ำเพราะพิธีกรรมยืดเยื้อไปมากกว่าเดิม แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย หลังจบพิธีมิสซากลับมีผู้ใหญ่หลายท่านเข้ามาแสดงความยินดีด้วย บางท่านบอกว่า ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สนใจ (ซึ่งจริงๆข้าพเจ้าเคยบอกไปแล้ว แต่ท่านมาจำได้แม่นก็เพราะพิธีต้อนรับฯนั่นเอง) หลังจากนั้นผู้ใหญ่หลายๆท่านก็ติดตามสอบถามอยู่บ่อยๆ ว่าจะมีพิธีอะไรอีกหรือไม่ และเรียนคำสอนกันไปถึงไหนแล้ว   

5. การมีพี่เลี้ยงในกลุ่มผู้เรียนคำสอนผู้ใหญ่มีส่วนช่วยในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่หรือไม่ อย่างไร?
-  ในห้องคำสอนพี่เลี้ยงบางท่านเป็นแฟนของผู้เรียนคำสอน สามารถช่วยผู้เรียนในเรื่องคำปรึกษา, ชีวิต และแสดงแบบอย่างการเป็นคริสตชนที่ดี   ผู้เรียนหลายท่าน มาเรียนเพราะเห็นแบบอย่างที่ดีของแฟน
-  ในพิธีมิสซา พี่เลี้ยงนั่งเป็น เพื่อน ผู้เรียน ซึ่งมาใหม่ และอาจทำอะไรผิดพลาดได้ พี่เลี้ยงช่วยเปิดบทมิสซาในหนังสือเพลง อธิบายขั้นตอนต่างๆให้สำหรับผู้เรียน การมีคนที่เรารู้จักอยู่ด้วย ทำให้ไม่ขัดเขิน
-  ในบางครั้ง พี่เลี้ยงต้องคอยเป็นหูเป็นตา เพราะอาจจะมีผู้เรียนเดินออกไปรับศีลมหาสนิทด้วย
    ความไม่รู้
-  ให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตตามความถนัด หรืออธิบายคำสอนเท่าที่ทราบเมื่อผู้เรียนถาม
-  ในห้องคำสอน พี่เลี้ยงร่วมเรียน,ร่วมแบ่งปันในกลุ่ม และจัดเก็บอุปกรณ์การเรียนคำสอน
-  พี่เลี้ยงซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มกิจกรรมในเขตวัด สามารถแนะนำกลุ่มแก่ผู้เรียนได้

6. ท่านมีความประทับใจในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่ อะไรบ้าง
-  คุณพ่อ ,ครูคำสอน
-  พิธีกรรมต่างๆของ RCIA
-  การแบ่งปันในกลุ่มย่อย  ซึ่งทำให้ไม่เบื่อ
เนื้อหาบทเรียนในห้องคำสอนอาจจะเหมือนเดิม แต่ประสบการณ์ของผู้ที่มาเรียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

7.  หลังจากที่ท่านเป็นคริสตชน ท่านสังกัดกลุ่มกิจกรรมใดของวัดบ้าง และมีผลดีต่อชีวิตคริสตชนหรือไม่ อย่างไร
-  นักขับร้องอาสนวิหารอัสสัมชัญ เป็นสมาชิกตั้งแต่ก่อนรับศีลล้างบาป
ผลดี
ก่อนรับศีลล้างบาป   -  เป็นกิจกรรมที่ทางครอบครัวรับได้
       -  รู้สึกว่ามีส่วนร่วมในมิสซา แม้ไม่สามารถรับศีลมหาสนิทได้ ความรู้สึกมีส่วนร่วม  
         ทำให้   ไม่อยากขาดมิสซา
หลังรับศีลล้างบาป   -  ได้ใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานมา เพื่อรับใช้พระองค์
                                เป็นปัจจัยสำคัญซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเข้ามิสซาตรงเวลา (รอบ 8.30 น.)
       -  กลุ่มนักขับร้อง เป็นเสมือนครอบครัว และวัดก็เป็นเหมือนบ้านหลังที่2  ดังนั้น
          ความคิดเรื่องการย้ายวัด (หรือเลวร้ายกว่านั้น การทิ้งวัด) ยากที่จะปรากฏในสารบบ
          ความคิดข้าพเจ้า
  -  กลุ่ม PMG (Parish Missionary Group) ทำให้รู้จักจิตตารมณ์ของการเป็น   
     ธรรมทูตเข้าใจมากขึ้นว่า ไม่ใช่เพียงพระสงฆ์ หรือนักบวชเท่านั้นที่สามารถ
     ทำงานแพร่ธรรมได้ และทำให้ตระหนักมากขึ้นว่า เมื่อเราแสดงตนชัดเจนว่าเรา
     เป็นคริสตชน ทุกกิจการที่เรากระทำส่งผลต่อพระศาสนจักรโดยรวม ทั้งเรื่องที่ดี  
     และไม่ดีจึงต้องระวังตนเองมากขึ้น

8. ปัจจุบันท่านได้มาช่วยในกลุ่มผู้เรียนคำสอนผู้ใหญ่ด้านใดบ้าง
-  สิ่งที่ข้าพเจ้าได้จากการเป็นพี่เลี้ยงคือ เราไม่ได้เป็น ผู้ให้ แต่เป็นผู้รับ เสียมากกว่า และการเป็นพี่เลี้ยงทำให้ต้องรักษาระเบียบวินัยมากขึ้นอีกด้วย  และช่วยครูคำสอนเตรียมห้องเรียนบ้าง เช่น  หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน โต๊ะเรียน  เตรียมน้ำดื่มสำหรับผู้สอน  ฯลฯ

9. ท่านมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการสอนคำสอนผู้ใหญ่ด้านใดบ้าง
เวบไซต์ www.newmana.com
-  เวบไซต์ www.catholic.or.th (บางโอกาส)
การพูดคุยกับคนอื่นๆ เช่น เพื่อนที่โรงเรียน, คนขับรถแท็กซี่  ฯลฯ เมื่อถูกถามว่า วันอาทิตย์ไปไหน

10. มีความสุขที่ได้เป็นคริสตชนหรือไม่?
ปัญหาและเรื่องหนักใจต่างๆยังคงมีอยู่เสมอ  แต่คำสอนของศาสนาคริสต์สามารถก่อ
เกิด ความสุข บน ความทุกข์ ได้ ต้องเชื่อเสมอว่า มีพระพรสำหรับปัญหาทุกอย่าง

11. อุปสรรคในการดำเนินชีวิตคริสตชนคืออะไรบ้าง แล้วท่านแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้อย่างไรบ้าง
-  ครอบครัว : ผู้ใหญ่ยังคงมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับศาสนาคริสต์อยู่ เช่น เป็นศาสนาของฝรั่ง, สอนให้ลูกเกลียดพ่อ-แม่, สอนให้งมงาย, หลอกใช้งาน หรือหลอกเอาทรัพย์   ข้าพเจ้าพยายามแก้ไขโดยการพูดคุย ให้ท่านทราบว่า จริงๆแล้วศาสนาคริสต์ทำอะไรกันบ้าง สอนอย่างไรบ้าง (มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าพูดข้อความในพระคัมภีร์ซึ่งเกี่ยวกับการเคารพผู้ใหญ่ให้ทางบ้านฟัง) ที่ผ่านมาพบว่า การแก้ไขปัญหาแบบตอบโต้รุนแรง หรือปิดบังการกระทำของเรา ไม่ช่วยอะไรเลย กลับทำให้เกิดการไม่ไว้วางใจ จนความสัมพันธ์แย่ลงกว่าเดิม ควรพยายามอดทนต่อคำดูหมิ่นต่างๆ และเปิดพระคัมภีร์อ่านบ่อยๆ จะดีกว่า
-  ตนเอง : บางครั้งเกิดอาการ ขี้เกียจ ไม่อยากมาวัด  ต้องพยายามเตือนตนเองเสมอว่า ห้ามขาดวัด (เพราะความขี้เกียจ) เด็ดขาด เพราะถ้ามีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อๆไป ในที่สุดอาจจะกู่ไม่กลับ 
สารภาพบาปอยู่เสมอๆ   เพราะเมื่อรับศีลอภัยบาป เราจะได้รับพระหรรษทานในการต่อสู้กับบาปนั้นๆมากขึ้น  (การที่ไม่ไปสารภาพบาปเป็นเวลานานๆ  อาจทำให้เราแยกตัวห่างจากพระเจ้าหรือชุมชนเขตวัด)
-  ในชีวิตจริง คริสตชนอาจจะไม่ดำเนินชีวิตเหมือนที่เคยเรียนจากห้องคำสอน จึงต้องทำความเข้าใจว่า    ทุกคน รวมถึงตัวเราด้วย ไม่ได้ดีพร้อม มีความอ่อนแอ และเป็นคนบาปด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อเราไปแก้ไขคนอื่นไม่ได้   ก็ควรพยายามแก้ที่ตัวเราก่อน (ซึ่งก็ทำยากเหมือนกัน)
                                  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น