แบ่งปันชีวิตคริสตชนใหม่และกระบวนการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน
(Rites of Christian Initiation
of Adults-RCIA)
แบ่งปันโดย...คุณฉมามาศ
รอดชมพู
เมื่อวันจันทร์ที่ 10
สิงหาคม 2009 เวลา 10.40 -11.30 น. อาจารย์ทัศนีย์ มธุรสสุวรรณ เชิญคริสตชนใหม่ 3 ท่าน คือ มารีย์ อิกญาซิโอ
วชิรวไล นาควิโรจน์ และมารีอา ลอเรนซ์ ฉมามาศ รอดชมภู ซึ่งทั้งสองเรียนคริสตศาสนธรรมผู้ใหญ่และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ
(ขณะนี้เป็นพี่เลี้ยงให้กับรุ่นน้องที่มาเรียนที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ) และคุณกลารา
ทัคขีนี เขียวประเสริฐ เรียนและรับศีลฯที่วัดนักบุญโทมัสอไควนัส มีนบุรี มาร่วมแบ่งปันในวิชาการสอนศาสนธรรมผู้ใหญ่
(คศ.123) ให้กับนักศึกษาสาขาวิชาคริสตศาสนศึกษา วิทยาลัยแสงธรรม ชั้นปี 2-3 จำนวน
25 คน ในหัวข้อชีวิตคริสตชนใหม่และกระบวนการรับผู้ใหญ่เข้าเป็น คริสตชน จึงขออนุญาต
มารีอา ลอเรนซ์ ฉมามาศ รอดชมภู นำสิ่งที่ได้แบ่งปันกับนักศึกษามาแบ่งปัน ดังต่อไปนี้
1.
ทำไมท่านจึงสนใจมาเรียนคำสอน
- ได้ยินเรื่องของพระเยซูมานานแล้ว
จากภาพยนต์, หนังสือเรียน
- ได้เห็นแบบอย่างที่ดีของพระสันตะปาปา
ยอห์น ปอล ที่ 2
- อยากรับศีลล้างบาปเพื่อเป็นคริสตชน ฯลฯ
2.
มีใครเชิญชวนท่านให้มาเรียนคำสอนหรือไม่
หรือท่านรู้ว่ามีการสอนคำสอนผู้ใหญ่จากที่ใด
ในตอนแรกเรียนคำสอนที่คริสตจักร โปรแตสแตนท์ สายเพรสไบทีเรียน
- เวบไซต์ www.google.com พิมพ์ว่า “คาทอลิก”
ลิงค์ไปที่เวบไซต์ www.newmana.com ในกระทู้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้สนใจที่จะมาเป็นคาทอลิก
คนในเวบบอร์ดแนะนำว่าให้เดินเข้าไปในวัด แล้วบอกคุณพ่อ (บาทหลวง)
ว่าเราอยากเป็นคาทอลิก
- ค้นหาวัดที่จะไปจาก www.google.com
รู้จักเพียงวัดเดียวคือ อาสนวิหารอัสสัมชัญ ซึ่งบิดาเคยกล่าวถึง
- วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2006 มามิสซารอบ 17.30
ที่วัดอัสสัมชัญ แล้วตามหาคุณพ่อ (บาทหลวง) เห็นคุณพ่อวรยุทธ
กิจบำรุงยืนอยู่หน้าวัด จึงเข้าไปถามคุณพ่อว่า ถ้าต้องการเป็นคาทอลิกจะต้องทำอย่างไรบ้าง
คุณพ่อจึงแนะนำให้ไปเรียนคำสอนที่บ้านพักพระสงฆ์ วันอาทิตย์ เวลา 10.00น.
3.
ในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่ใช้หนังสือเรียนเล่มใดบ้าง
และหนังสือที่ใช้มีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
หนังสือที่ใช้
- หนังสือก้าวไปด้วยกัน
- พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่
(สำนวนคาทอลิก)
- พระคัมภีร์ปัญจบรรพ
(สำนวนคาทอลิก)
- ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิค
- - - - ในบางโอกาส
- หนังสือเพลงปราถนา
- - - - ในบางโอกาส
หนังสือก้าวไปด้วยกัน
ดีอย่างไร?
- เนื่องจากในห้องคำสอน
ผู้เรียนมีระดับการศึกษาไม่เท่ากัน ดังนั้นหากใช้ตำราเรียนที่มีแต่
ตัวอักษรเยอะเต็มหน้ากระดาษ
อาจจะทำให้ผู้เรียนบางกลุ่มตามเนื้อหาไม่ทัน แต่หนังสือ
ก้าวไปด้วยกัน ทำให้ผู้เรียนทุกคนเรียนรู้ไปพร้อมๆกันได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีช่วงให้
แบ่งปันในกลุ่มย่อยด้วย
- ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงพระวาจาและคำสอนต่างๆ เข้ากับบางเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตจริง
(มองชีวิต,
พระวาจาฯ, ก้าวเดินไปข้างหน้า)
-
การแบ่งปันในกลุ่มย่อยทำให้ช่องว่างระหว่าง คุณพ่อ, ครูคำสอน
กับกลุ่มผู้เรียนลดลง เมื่อผู้เรียนมีความไว้วางใจมากขึ้น พวกเขาก็กล้าที่จะแบ่งปันประสบการณ์มากขึ้น การแบ่งปันถือเป็นโอกาส ผู้ที่ไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น
ได้แสดงความคิดเห็น ผู้ที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น (พูดไม่เก่ง) มีโอกาสพัฒนา ผู้ที่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจ มีโอกาสเปิดเผย
แล้วได้รับคำหนุนใจจากสมาชิกคนอื่นๆ นอกจากนั้น
ความเห็นที่หลากหลายจากสมาชิกในกลุ่ม อาจเป็นการตอบคำถามซึ่งอยู่ในใจของสมาชิกที่ยังไม่กล้าจะถาม
-
เนื้อหาของหนังสือก้าวไปด้วยกัน สอดคล้องกับกระบวนการ RCIA มาก
อาจพูดได้ว่า เมื่อนึกถึง RCIA ก็ต้องนึกถึงหนังสือก้าวไปด้วยกัน
พระคัมภีร์สำนวนคาทอลิก
ดีอย่างไร?
-
เขียนด้วยภาษาที่ไพเราะ เข้าใจง่าย และเป็นสำนวนที่คาทอลิกใช้กันอยู่แล้ว
-
มีฟุ๊ตโน้ต (Footnote) อธิบาย ทำให้ผู้เรียนคำสอนหลายท่าน ซึ่งยังไม่เคยศึกษามาก่อนเข้าใจได้ง่ายขึ้น
4. ในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่
มีกระบวนการ RCIA
หรือไม่ และมีผลดีต่อผู้เรียนคำสอน และชุมชนคริสตชนของวัดหรือไม่
อย่างไร
- ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ เราเรียนคำสอนแบบRCIA มีระยะเวลาในการเรียน และพิธีกรรมเป็นขั้นตอน เปิดคอร์สพบปะกันครั้งแรกà พิธีต้อนรับผู้สมัครฯ à ระยะเวลาเรียนคำสอน à พิธีเลือกสรร à ระยะเวลาชำระจิตใจ
จะประกอบพิธีพิจารณาความตั้งใจà พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์
ในภาคเช้าวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ จะมีการเตรียมผู้ที่จะเป็นคริสตชนใหม่ จะมีพิธีเอฟฟาธา เจิมน้ำมันล้างบาป และในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์จะมีพิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์
(ศีลมหาสนิท, ศีลกำลัง และ ศีลมหาสนิท)à
ระยะเวลาเป็นคริสตชนใหม่
ผลดีของกระบวนการ RCIA
-
ต่อผู้เรียนคำสอน : พิธีกรรมต่างๆซึ่งทำเป็นขั้นตอน
ทำให้ผู้เรียนเกิดแรงผลักดัน เหมือนการกระตุ้นเป็นระยะๆ ทำให้ทราบว่า ณ
ตอนนี้เราก้าวเดินมาถึงจุดไหนแล้ว ต้องพัฒนาหรือละทิ้งอะไรบ้าง แล้วจะต้องเดินอีกเท่าไร
จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง คือ วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้เรียนส่วนใหญ่คิดว่าพิธีกรรมเหล่านี้เป็น “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ซึ่งยากที่จะลืมเลือน (สำหรับข้าพเจ้า หลังจากรับศีลล้างบาปแล้ว
เมื่อได้มีโอกาสเห็นพิธีเหล่านี้อีก รู้สึกเหมือนเป็นการรื้อฟื้นความเชื่อไปด้วย)
-
ต่อชุมชนเขตวัด : เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเขตวัดกับผู้เรียน
ทำให้พวกเขาทราบว่า “เรา (ผู้เรียน) เป็นใคร” เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเข้าพิธีต้อนรับผู้สมัครเรียนคำสอน
ข้าพเจ้าคิดว่าพิธีนี้คงไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพี่น้องคริสตชนในวัด
บางทีเขาอาจจะเบื่อเสียด้วยซ้ำเพราะพิธีกรรมยืดเยื้อไปมากกว่าเดิม
แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
หลังจบพิธีมิสซากลับมีผู้ใหญ่หลายท่านเข้ามาแสดงความยินดีด้วย บางท่านบอกว่า
ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สนใจ (ซึ่งจริงๆข้าพเจ้าเคยบอกไปแล้ว
แต่ท่านมาจำได้แม่นก็เพราะพิธีต้อนรับฯนั่นเอง) หลังจากนั้นผู้ใหญ่หลายๆท่านก็ติดตามสอบถามอยู่บ่อยๆ
ว่าจะมีพิธีอะไรอีกหรือไม่ และเรียนคำสอนกันไปถึงไหนแล้ว
5.
การมีพี่เลี้ยงในกลุ่มผู้เรียนคำสอนผู้ใหญ่มีส่วนช่วยในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่หรือไม่
อย่างไร?
- ในห้องคำสอนพี่เลี้ยงบางท่านเป็นแฟนของผู้เรียนคำสอน
สามารถช่วยผู้เรียนในเรื่องคำปรึกษา, ชีวิต
และแสดงแบบอย่างการเป็นคริสตชนที่ดี
ผู้เรียนหลายท่าน มาเรียนเพราะเห็นแบบอย่างที่ดีของแฟน
-
ในพิธีมิสซา พี่เลี้ยงนั่งเป็น “เพื่อน” ผู้เรียน
ซึ่งมาใหม่ และอาจทำอะไรผิดพลาดได้ พี่เลี้ยงช่วยเปิดบทมิสซาในหนังสือเพลง
อธิบายขั้นตอนต่างๆให้สำหรับผู้เรียน การมีคนที่เรารู้จักอยู่ด้วย ทำให้ไม่ขัดเขิน
- ในบางครั้ง
พี่เลี้ยงต้องคอยเป็นหูเป็นตา เพราะอาจจะมีผู้เรียนเดินออกไปรับศีลมหาสนิทด้วย
ความไม่รู้
-
ให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตตามความถนัด
หรืออธิบายคำสอนเท่าที่ทราบเมื่อผู้เรียนถาม
- ในห้องคำสอน
พี่เลี้ยงร่วมเรียน,ร่วมแบ่งปันในกลุ่ม และจัดเก็บอุปกรณ์การเรียนคำสอน
-
พี่เลี้ยงซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มกิจกรรมในเขตวัด
สามารถแนะนำกลุ่มแก่ผู้เรียนได้
6.
ท่านมีความประทับใจในการเรียนคำสอนผู้ใหญ่ อะไรบ้าง
- คุณพ่อ ,ครูคำสอน
-
พิธีกรรมต่างๆของ RCIA
-
การแบ่งปันในกลุ่มย่อย
ซึ่งทำให้ไม่เบื่อ
“เนื้อหาบทเรียนในห้องคำสอนอาจจะเหมือนเดิม
แต่ประสบการณ์ของผู้ที่มาเรียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”
7. หลังจากที่ท่านเป็นคริสตชน
ท่านสังกัดกลุ่มกิจกรรมใดของวัดบ้าง และมีผลดีต่อชีวิตคริสตชนหรือไม่ อย่างไร
-
นักขับร้องอาสนวิหารอัสสัมชัญ เป็นสมาชิกตั้งแต่ก่อนรับศีลล้างบาป
ผลดี
ก่อนรับศีลล้างบาป - เป็นกิจกรรมที่ทางครอบครัวรับได้
-
รู้สึกว่ามีส่วนร่วมในมิสซา แม้ไม่สามารถรับศีลมหาสนิทได้
ความรู้สึกมีส่วนร่วม
ทำให้
ไม่อยากขาดมิสซา
หลังรับศีลล้างบาป - ได้ใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานมา เพื่อรับใช้พระองค์
- เป็นปัจจัยสำคัญซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเข้ามิสซาตรงเวลา
(รอบ 8.30 น.)
-
กลุ่มนักขับร้อง เป็นเสมือนครอบครัว และวัดก็เป็นเหมือนบ้านหลังที่2 ดังนั้น
ความคิดเรื่องการย้ายวัด (หรือเลวร้ายกว่านั้น
การทิ้งวัด) ยากที่จะปรากฏในสารบบ
ความคิดข้าพเจ้า
- กลุ่ม PMG (Parish Missionary Group) ทำให้รู้จักจิตตารมณ์ของการเป็น
ธรรมทูตเข้าใจมากขึ้นว่า
ไม่ใช่เพียงพระสงฆ์ หรือนักบวชเท่านั้นที่สามารถ
ทำงานแพร่ธรรมได้ และทำให้ตระหนักมากขึ้นว่า
เมื่อเราแสดงตนชัดเจนว่าเรา
เป็นคริสตชน
ทุกกิจการที่เรากระทำส่งผลต่อพระศาสนจักรโดยรวม ทั้งเรื่องที่ดี
และไม่ดีจึงต้องระวังตนเองมากขึ้น
8.
ปัจจุบันท่านได้มาช่วยในกลุ่มผู้เรียนคำสอนผู้ใหญ่ด้านใดบ้าง
-
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้จากการเป็นพี่เลี้ยงคือ เราไม่ได้เป็น “ผู้ให้” แต่เป็น“ผู้รับ” เสียมากกว่า
และการเป็นพี่เลี้ยงทำให้ต้องรักษาระเบียบวินัยมากขึ้นอีกด้วย และช่วยครูคำสอนเตรียมห้องเรียนบ้าง
เช่น หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน
โต๊ะเรียน เตรียมน้ำดื่มสำหรับผู้สอน ฯลฯ
9. ท่านมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการสอนคำสอนผู้ใหญ่ด้านใดบ้าง
- เวบไซต์ www.newmana.com
-
เวบไซต์ www.catholic.or.th (บางโอกาส)
- การพูดคุยกับคนอื่นๆ เช่น เพื่อนที่โรงเรียน, คนขับรถแท็กซี่ ฯลฯ เมื่อถูกถามว่า วันอาทิตย์ไปไหน
10.
มีความสุขที่ได้เป็นคริสตชนหรือไม่?
ปัญหาและเรื่องหนักใจต่างๆยังคงมีอยู่เสมอ แต่คำสอนของศาสนาคริสต์สามารถก่อ
เกิด “ความสุข” บน “ความทุกข์” ได้ ต้องเชื่อเสมอว่า “มีพระพรสำหรับปัญหาทุกอย่าง”
11.
อุปสรรคในการดำเนินชีวิตคริสตชนคืออะไรบ้าง
แล้วท่านแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้อย่างไรบ้าง
-
ครอบครัว :
ผู้ใหญ่ยังคงมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับศาสนาคริสต์อยู่ เช่น
เป็นศาสนาของฝรั่ง, สอนให้ลูกเกลียดพ่อ-แม่, สอนให้งมงาย, หลอกใช้งาน
หรือหลอกเอาทรัพย์ ข้าพเจ้าพยายามแก้ไขโดยการพูดคุย
ให้ท่านทราบว่า จริงๆแล้วศาสนาคริสต์ทำอะไรกันบ้าง สอนอย่างไรบ้าง (มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าพูดข้อความในพระคัมภีร์ซึ่งเกี่ยวกับการเคารพผู้ใหญ่ให้ทางบ้านฟัง)
ที่ผ่านมาพบว่า การแก้ไขปัญหาแบบตอบโต้รุนแรง หรือปิดบังการกระทำของเรา ไม่ช่วยอะไรเลย
กลับทำให้เกิดการไม่ไว้วางใจ จนความสัมพันธ์แย่ลงกว่าเดิม ควรพยายามอดทนต่อคำดูหมิ่นต่างๆ
และเปิดพระคัมภีร์อ่านบ่อยๆ จะดีกว่า
- ตนเอง
:
บางครั้งเกิดอาการ “ขี้เกียจ”
ไม่อยากมาวัด ต้องพยายามเตือนตนเองเสมอว่า
“ห้ามขาดวัด (เพราะความขี้เกียจ) เด็ดขาด” เพราะถ้ามีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อๆไป ในที่สุดอาจจะกู่ไม่กลับ
- สารภาพบาปอยู่เสมอๆ เพราะเมื่อรับศีลอภัยบาป เราจะได้รับพระหรรษทานในการต่อสู้กับบาปนั้นๆมากขึ้น (การที่ไม่ไปสารภาพบาปเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เราแยกตัวห่างจากพระเจ้าหรือชุมชนเขตวัด)
- ในชีวิตจริง
คริสตชนอาจจะไม่ดำเนินชีวิตเหมือนที่เคยเรียนจากห้องคำสอน จึงต้องทำความเข้าใจว่า ทุกคน รวมถึงตัวเราด้วย ไม่ได้ดีพร้อม
มีความอ่อนแอ และเป็นคนบาปด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อเราไปแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ก็ควรพยายามแก้ที่ตัวเราก่อน (ซึ่งก็ทำยากเหมือนกัน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น